Home & NewsHistoryDhamma AreeKai-U Luck KidDhamma's WebboardContactDhamma Cartoon
 
 
MP3VDOsPDF  
 






ผม..เมื่อครั้งบวชหน้าไฟให้เตี่ย

๓. "เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด" โดย พ่อไก่อู (๒๓ มิ.ย. ๒๕๕๑)

คำกล่าวในหัวข้อข้างต้น ดูเหมือนจะเป็น "นิยามของพระไทย (บางส่วน หรือส่วนใหญ่นะ) ในยุคปัจจุบันนี้" ที่ทำให้ประชาชนชาวไทยจำนวนหนึ่ง เบื่อหน่ายในพฤติกรรมของผู้ที่มักเรียกตนเองว่า "ผู้ทรงศีล" แต่พฤติกรรมกลับตาลปัตรเป็นตรงกันข้าม

ผมเองก็แทบจะเสียศรัทธาไปเหมือนกัน แต่ยังเชื่อมั่นว่า "พระดียังมีอยู่ และคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้ๆ นั้น ยังไม่เลือนหายไปไหน" แต่ ณ เวลานั้นยังหาครูบาอาจารย์ ที่จะแนะนำให้กระจ่างแจ้งไม่ได้

เมื่อครั้งที่เตี่ยผมเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ผมในฐานะลูกชาย (ที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังพ่อแม่ซักเท่าไหร่) ก็ได้มีโอกาสทำหน้าที่ เพื่อระลึกถึงคุณของบิดาผู้ให้กำเนิดเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการปลงผมบวชหน้าไฟ ตามประเพณีไทยที่สืบทอดกันมายาวนาน ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้เรื่องธรรมม้ง ธรรมะ อะไรมากมายนักหรอกครับ (จะว่า งูๆ ปลาๆ ก็ได้) ถึงผมจะไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อายุอานามก็ปาไปราว ๒๐ เศษๆ แต่การบวชระยะสั้นๆ คราวนั้น ผมเป็นได้เพียง "เณร" ผมบวชที่วัดในกรุงเทพฯ (เป็นวัดใหญ่ แต่ไม่ขอเอ่ยชื่อนะครับ) และได้จำวัดอยู่กับหลวงตารูปหนึ่ง ระหว่างรอทำพิธีศพ หลวงตารูปนี้เป็นพระแก่ ที่ดูภายนอกแล้วน่าจะมีภูมิธรรมดี อีกทั้งบวชมานานมากแล้ว แต่พอผมถามว่า "หลวงตาครับ ศีล ๑๐ สำหรับเณรมีอะไรบ้าง?" ท่านตอบไม่ได้ ได้แต่ไล่ผมให้ไปถามหลวงพี่ที่สวดหน้าศพเสียนี่ ผมเองถึงกับงง..ง..ง ??

จำวัดอยู่กับท่านคืนแรก หลวงตากลัวว่าผมจะหิว (ข้าวเย็น) เพราะเห็นว่าเพิ่งบวชใหม่ๆ ท่านชี้ให้ผมไปกินโจ๊ก ที่แช่อยู่ในตู้เย็นในกุฏิ ตอนนั้นผมรู้สึกดีครับ ที่หลวงตาเป็นห่วง แต่ก็ปฏิเสธไป เพราะรู้ว่าบวชแล้วไม่ควรฉันข้าวเย็น ตกกลางคืนผมเห็นลูกชายของหลวงตา วัยไล่ๆ กันกับผมมาหา พร้อมกับเอามอเตอร์ไซต์เข้ามาจอดในกุฏิ แล้วก็นอนค้างในกุฏิด้วยกัน (???) ท่านยังเล่าให้ฟังอีกว่า ลูกชายมาค้างอยู่ด้วยเป็นประจำ

วันรุ่งขึ้น..ผมตื่นแต่เช้ามืด เพราะรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกบิณฑบาตรเป็นครั้งแรกในชีวิต เห็นหลวงพี่ในวัดหลายรูปเดินเท้าเปล่า แยกกันเป็นขบวนๆ ออกจากวัดตั้งแต่เช้าตรู่ แต่หลวงตาบอกให้ผมรอก่อนไม่ต้องเดิน ท่านให้ผมซ้อนมอเตอร์ไซต์ที่ท่านเรียกให้ ส่วนท่านซ้อนมอเตอร์ไซต์ลูกชาย เพื่อไปยังซอยที่ท่านบิณฑบาตรเป็นประจำ ซึ่งห่างจากหน้าวัดประมาณ ๑ กิโลเมตรเศษๆ (ตอนนั้นผมคิดเพียงว่า หลวงตาแก่แล้ว คงเดินไปลำบาก ไม่เหมือนพระหนุ่มๆ) มอเตอร์ไซต์จอดส่งตรงตีนสะพานลอย ผม หลวงตา และลูกชายหลวงตา (ถือถังไปด้วยแบบศิษย์วัด) ขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามถนนไปยังซอยที่หลวงตาบิณฑบาตรเป็นประจำ

จุดแรกตรงปากซอยคือร้านแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้ ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับลูกค้าที่เข้าคิวรอซื้ออยู่ หลวงตายังไม่หยุดรับบิณฑบาตรที่ร้านนี้ ท่านบอกว่าค่อยมารับตอนขากลับ ซอยที่หลวงตาเดินเป็นประจำไม่ลึกนัก มีบ้านอยู่ประมาณซัก ๒๐ กว่าหลังเห็นจะได้ อีกทั้งญาติโยมล้วนก็รู้จักและคุ้ยเคยกับหลวงตาเป็นอย่างดี เพราะใส่บาตรกันมานานเป็น ๑๐ ปีแล้ว.....
         เดินห่างจากปากซอยไปไม่มากนัก หลวงตาก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีโต๊ะเล็กๆ ตั้งอยู่ พร้อมอาหารหนึ่งชุดสำหรับใส่บาตร พอชาวบ้านเห็นผม ซึ่งเป็นพระใหม่เดินตามมาด้วย ก็ตกใจ กุลีกุจอ วิ่งรี่เข้าไปในบ้านไปตักอาหารมาเพิ่ม แถมยังบอกให้ลูกๆ หยิบกล้วยน้ำว้ามาเพิ่มอีกหวี จนหลวงตาต้องรีบตะโกนตามหลังไวๆ ว่า "เณรบวชหน้าไฟ ไม่กี่วันก็สึกแล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องเตรียมนะ" ผมรับของใส่บาตรจากชาวบ้านด้วยความรู้สึกเต็มตื้น สำนึกในพระคุณของพวกเขาจนยากจะบรรยาย เดินไปกี่หลังกี่หลังก็เหมือนกันหมด คือ "เห็นความตั้งใจของชาวบ้าน ในการทำบุญให้ทานอย่างยิ่ง" ผมงี้รู้สึกละอายมากๆ คิดเสียว่า ให้ผู้ใหญ่คราวแม่ คราวยาย มายกมือไหว้เราประหงกๆ เพราะเขาเห็นแก่ผ้าเหลืองหรอกนะ ไม่ใช่ตัวผม ซึ่งยังไม่ควรแก่การกราบไหว้ ด้วยคุณธรรมที่ยังไม่เหมาะแก่การเป็นสมณะผู้ควรเคารพเลย

หลังจากเดินวนจนรอบซอยแล้ว ผมกับหลวงตา ก็เดินวกกลับมาที่หน้าปากซอยอีกครั้ง มองเห็นแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้นั่งยองๆ พนมมือไหว้อยู่ ในมือมีถุงน้ำเต้าหู้ พร้อมปาท่องโก๋ ๒-๓ ชุด สำหรับใส่บาตร หลวงตาแวะมารับเป็นจุดสุดท้าย พร้อมทักทายและกล่าวประโยคให้พรเป็นภาษาบาลี เป็นอันหมดกิจในช่วงเช้า หลังจากเดินข้ามสะพานลอยกลับมาอีกฝั่งแล้ว มอเตอร์ไซต์ที่เรียกไว้ยังจอดคอยอยู่ ผมกับหลวงตาก็ซ้อนกลับจนถึงวัด

อาหารที่ใส่ในบาตรวันนั้นมีหลายอย่าง เยอะเสียจนผมเองยังกินไม่หมด หลวงตาก็แบ่งให้ลูกชายเอาไปกินด้วย หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ ว่างไปจนถึงบ่าย พอตกเย็นจึงไปนั่งอยู่ในพิธีศพ จบพิธีศพช่วงเย็นผมยังจำวัดอยู่กับหลวงตาอีกคืน เห็นหลวงตาคุยกับลูกชายเสียงดัง ฟังดูเหมือนลุ้นๆ อะไรเนี่ย...ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเป็นอะไร? แต่พอเหลือบไปเห็นว่า เป็นตัวเลขที่จดอยู่ในแผ่นกระดาษเท่านั้นแหละ ก็ถึงบางอ้อเลย พร้อมกับอุทานในใจว่า "ไอ้หยา...หลวงตาอี..ฝากคุงลูกชายแทงหวยด้วยรึ" ???..??..??

จบการบวชสั้นๆ แบบงงๆ ของผมอย่างนี้ละครับ......

หลังจากนั้นผมเลยรู้สึกติดลบ กับชายที่อยู่ในชุดผ้าเหลืองอยู่นาน มองปราดๆ ก็ชักไม่แน่ใจซะแล้วว่า..."จริงหรือปลอม" แต่ในใจก็ยังคิดอยู่เสมอว่า "คำสอนแท้ๆ ของพระพุทธเจ้ายังไม่เลือนหายไปไหน คงมีแต่ผู้ที่เรียกตนว่า "พระ" บางส่วนเท่านั้นแหละ ที่ยังแปดเปื้อนอยู่ จนเข้าไม่ถึงอมตะธรรมของพระพุทธเจ้า" จนกระทั่งผมได้มาทำความรู้จักกับธรรมะจากจิตสู่จิต ของพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ซึ่งได้รับการแนะนำจากกัลยาณมิตร ที่ร่วมกลุ่มทำงานศิลปะด้วยกัน คือนายเอก เอกสิทธิ์ จิรัตติกานนท์ คราวที่ฟังครั้งแรกๆ ก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ กว่าจะเข้าใจแจ่มชัด ก็อีกนานหลายเดือน ประกอบกับผมเองก็เพิ่งยอมรับการมีอยู่ของภพภูมิ ก็เหมือนกับปัญหาที่ค้างคาใจอยู่เริ่มคลี่คลายและลงตัว จนผมเคยเปรียบว่า คือ "จิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย" ที่ทำให้ผมข้ามจากความไม่เข้าใจสู่ความเข้าใจได้ ยอมรับครับว่า...ไม่เคยฟังธรรมแบบตรงๆ ถึงจิตถึงใจอย่างนี้จากพระรูปไหนมาก่อน คงได้แต่อุทานอย่างเดียวว่า "เราพบครูแล้วๆ" ทำให้ผมไม่หวั่นกับการฝ่าขวากหนามสู่หนทางข้างหน้า

แต่พอหันมาดูสถานการณ์ "วิกฤตชาวพุทธ" ในปัจจุบัน ก็รู้สึกเห็นตรงกับที่หลวงพ่อปราโมทย์ เคยเทศน์ไว้ ผมก็เลยขอตัดบางส่วนจาก CD ที่ พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม ณ ศาลาลุงชิน (ศาลากาญจนาภิเษก) ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๐ มาให้ได้อ่านกันพอสังเขปดังนี้ครับ....

 
"ชาวพุทธทุกวันนี้ร่อยหรอสุดขีดแล้วนะ ศาสนาพุทธ..ตกอยู่ในอันตรายที่น่ากลัวที่สุดแล้ว ศาสนาพุทธแท้ๆ ที่สืบทอดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างเถรวาท เหลือนิดเดียวแล้ว เหลืออยู่ไม่กี่ประเทศ เหลือในเมืองไทย ในลังกา ในพม่า ในเมืองไทยจริงๆ ศาสนาพุทธแทบจะเรียกว่าสูญไปแล้ว หรือเกือบๆ จะสูญไปแล้ว เราอย่าภูมิใจว่ามีชาวพุทธ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์นั้น..เป็นคนไม่มีศาสนาต่างหาก อะไรก็ได้ขอให้รวยก็แล้วกัน ใช่มั้ย? พร้อมจะนับถืออะไรก็ได้ เอาอะไรมาห้อยก็ได้นะ ไหว้มันหมดแหละ หมูหมากาไก่ วัวสามขาก็ไหว้ ใช่มั้ย? อะไรๆ เกิดขึ้นมา เราก็นับถือหมด เทวดง เทวดา มนุษย์สร้างเทวดา แล้วมนุษย์ก็กลัวเทวดา แล้วมนุษย์ก็ไปไหว้เทวดา เราขายพระพุทธเจ้าได้นะ ขอให้รวยก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นจริงๆ เราไม่ใช่ชาวพุทธ คนส่วนมากไม่ใช่ชาวพุทธ พวกเรานี่ชาวพุทธนะ เพราะพวกเราศึกษาธรรมะ ถ้าคนไหนไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ใช่ชาวพุทธหรอก เป็นพุทธแต่ชื่อ เป็นพุทธในทะเบียนบ้าน หรือในบัตรประชาชน ไม่ใช่พุทธตัวจริง พุทธตัวจริงมีนับตัวได้เลย นับจำนวนได้ มีไม่เท่าไหร่หรอก หลวงพ่อกะว่าคงมีระดับหลักหมื่นเท่านั้นมั้ง คือพุทธที่ต้องศึกษาธรรมะนะ ถ้าเป็นพุทธเฉยๆ พุทธตามบรรพบุรุษ อะไรอย่างเนี้ย มันไม่ใช่หรอก ทุกวันนี้สติปัญญาของคนตกต่ำลงเรื่อยๆ อย่างในสมัยโบราณคนนับถือเทวดา นับถือเทพใช่มั้ย? พอเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา คนไม่ได้นับถือเทวดา คนนับถือธรรมะ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือความจริง คนยอมรับความเป็นจริง ดำรงชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริง แล้วก็ไม่ทุกข์ ไม่ใช่ให้คนอื่นช่วย คนเรารู้เลยว่าเราช่วยตัวเองได้ เราต้องพึ่งตัวเอง เราทำอะไรเราก็ต้องได้รับผลอย่างนั้น เนี่ยมนุษย์พอเปลี่ยนจากเชื่อเทวดา เชื่อเทพเจ้า มาเชื่อในธรรมะ มนุษย์ก็จะไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิต หรือใครมาบงการ เราจะเชื่อกรรม กรรมคือการกระทำของเราเอง กำหนดชีวิตของเราเอง เนี่ยถ้าเราทำกรรมฐาน รู้สึกกายรู้สึกใจ เราจะรู้เลย ชีวิตเราเปลี่ยนจริงๆ นะ มันเปลี่ยนจริงๆ เราทำกรรมชั่วเราก็เดือดร้อนจริงๆ งั้นมนุษย์ที่พัฒนาแล้วนะ พัฒนาทางสติปัญญาแล้ว ก็ไม่เชื่อเรื่องอำนาจภายนอกเลย แต่ยอมรับเรื่องกรรมและผลของกรรม ซึ่งเราทำเอง แล้วมนุษย์ถ้าจะอยากให้มีสติปัญญามากขึ้น ก็ต้องศึกษาธรรมะ เรียกว่า "ไตรสิกขา" ศึกษาเรื่องศีล ศึกษาเรื่องจิต ศึกษาเรื่องการเจริญปัญญา เมื่อศึกษาแจ่มแจ้งแล้ว จิตใจก็ไม่ยึดถืออะไร จิตใจดำรงชีวิตสอดคล้องอยู่กับธรรมะล้วนๆ เลยคราวนี้ จิตกับธรรมะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกจากกัน เนี่ยมีความสุขล้วนๆ นี่เป็นพัฒนาการที่สูงที่สุดแล้วที่มนุษย์เคยมีมา แต่พวกเราเคยมีสิ่งเหล่านี้ เรากำลังสูญเสียไป อย่างเราเคยมีพระพุทธเจ้า ต่อมาเราก็ลดลงมาเหลือพระพุทธรูป ท่านพุทธทาส ท่านเคยพูดไว้นานแล้ว แล้วท่านทายไว้ด้วย ต่อไปไม่ใช่พระพุทธรูป ต่อไปจะไปนับถือรูปเจว็ดต่างๆ ซึ่งไม่ใช่อะไรศาสนาพุทธเลย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น แล้วก็จะเกิดต่อไปอีก....

     หน้าที่ของเราทุกคน ทุกคนมีความสำคัญนะ สำคัญต่อตัวเอง สำคัญต่อครอบครัว สำคัญต่อสังคมที่แวดล้อมอยู่ และสำคัญที่จะสืบทอดศาสนาต่อไปอีก ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้มีโอกาสฟังธรรมะ เหมือนที่พวกเรามีโอกาส งั้นเราต้องรักษาธรรมะ วิธีรักษาธรรมะที่ดีที่สุด คือการศึกษาธรรมะ จนธรรมะเข้าไปสู่ใจของเรา ธรรมะที่ต้องศึกษาให้รู้เรื่อง คือเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน เรื่องสมถะกรรมฐานเป็นของง่าย ถึงไม่มีพระพุทธเจ้า ก็มีสมถะกรรมฐาน งั้นต้องฟังเรื่องวิปัสสนา ก็คือการที่เรามีสติ รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา แล้วคอยรู้กายอย่างที่มันเป็น รู้จิตใจอย่างที่มันเป็น รู้มากเข้าๆ นะ จนเห็นผลของการปฏิบัติ เมื่อเราเห็นผลแล้ว เราจะเชื่อมั่นศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างแน่นแฟ้น เชื่อในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้น งั้นคนที่จะเชื่ออย่างแน่นแฟ้น คือคนที่เห็นผลของการปฏิบัติแล้ว คือพระโสดาบันขึ้นไป งั้นพวกเราอย่าประมาท ศรัทธาของพวกเราส่วนใหญ่ซึ่งเป็นปุถุชน เป็นศรัทธาที่ยังกลับกลอกได้ ตอนนี้นับถือพุทธนะ อีกหน่อยอาจจะไม่นับถือก็ยังได้นะ งั้นต้องพากเพียรศึกษาลงมาในกายในใจนี้ ถ้าศึกษาจนเริ่มเห็นผลแล้วนะ ให้เอาไปตัดคอเสีย แล้วให้บอกว่า "พระพุทธเจ้าโกหกเนี่ย" ยังไงก็ไม่ยอม เพราะว่ารู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก ธรรมะที่ท่านสอนเป็นของจริงล้วนๆ ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์จริงๆ เห็นได้ด้วยตัวเองจริงๆ งั้นพวกเราพากเพียรไปนะ

     คนไหนฟังหลวงพ่อทีเดียวไม่รู้เรื่อง เอา CD ไปฟัง เอาไปฟังนะ ฟังแล้วฟังอีก หลายคนไม่เคยเจอหลวงพ่อเลย พวกเรายังได้เจอกัน มีบุญร่วมกัน ได้เจอกัน บางคนไม่เจอ ฟัง CD ลูกเดียว เคยมีบางคนไม่มี CD สมัยแรกๆ หลวงพ่อไม่ได้ทำ CD เค้าเอาเทปมาอัดของเค้าเอง มีเทปอยู่ม้วนเดียว ฟังจนเทปยืด เทปยืดพร้อมๆ กับใจที่ตื่นขึ้นมา แหม๋..คุ้มนะ เสียเทปไปม้วนนึง ใจตื่นขึ้นมา งั้นฟังแล้งฟังอีกนะ ฟังไปเรื่อยๆ จนสติเกิด ถ้าสติเกิดแล้วถึงจะรู้ว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่นิยายหลอกเด็ก มันพ้นทุกข์ได้จริงๆ พ้นทุกข์ต่อหน้าต่อตาจริงๆ แล้วเป็นธรรมะที่ไม่เนิ่นช้า ให้ผลรวดเร็วมากเลย ไม่ใช่ว่าทำไปเถอะ ๒๐ ปี ๓๐ ปี ทำไปเถอะ เดี๋ยววันนึงคงจะดีเอง ทำไปหลายๆ ปีก็มีแต่ความทุกข์ บางคนทำไปนะ จิตวูบๆ วาบๆ บอกเป็นพระอรหันต์ละ หันไปหันมาตบกับสามีอีกละ บอกทำไมต้องไปตบกับเค้า บอกนี่ "ตบเป็นกิริยา" นี่มันเอากันจริงๆ นะ มันละกิเลสไม่ได้ ไม่ใช่ของจริงนะ ของจริงฝึกลงไป ต้องละกิเลสได้จริงๆ มีความสุขขึ้นมาได้จริงๆ ค่อยๆ ฝึกไปนะ"...................

     การแสดงธรรมของหลวงพ่อข้างต้น ทำให้ได้ตระหนักว่า "พวกเราเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ ที่มาจากคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้า" ว่า "จะอยู่หรือจะไป" แต่สิ่งที่จะสืบทอดและธำรงรักษาไว้ได้ก็คือ "ธรรมะที่ประจักษ์แจ้งลงสู่ใจของชาวพุทธทุกคน" ที่หมั่นศึกษาและปฏิบัติอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ใช่อยู่ที่พระ ที่วัด หรือถาวรวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ผมคงได้แต่กล่าวกับหลวงพ่อเพียงว่า สิ่งที่หลวงพ่อกรุณาเมตตาเสียสละฝากไว้ แม้ชาตินี้หากผมจะยังไม่สำเร็จบรรลุถึงเป้าหมาย แต่ผมก็จะไม่มีวันย่อท้ออยู่แล้ว แม้จะต้องพากเพียรไปอีกเป็นเอนกอนันตชาติก็ตาม..........

พ่อไก่อู


ป.ล. สนใจเสียงธรรม พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีที่ "เว็บวิมุตติ"

 
    กลับด้านบน
  Create and Maintained by JitdraThanee Copyright © 2008-2014 All Rights Reserved. Best viewed 1280x800 pixels.  
start Histats: 29 Aug.2010